ประกันภัยภาคบังคับ พ.ร.บ. คุ้มครองอะไรบ้าง?

ไขข้อข้องใจ พ.ร.บ. คุ้มครองอะไรบ้าง? (ประกันภาคบังคับ)

ไม่ว่าคุณจะเป็นนักขับมือเก๋า หรือเพิ่งถอยป้ายแดงออกมาได้ไม่กี่เดือน นี่คือเสียงที่ไม่มีใครอยากได้ยิน แต่ในความเป็นจริง อุบัติเหตุบนท้องถนนเกิดขึ้นได้เสมอ และสิ่งแรกที่คนมักนึกถึงคือ “ประกัน”

แต่เดี๋ยวก่อน… แล้ว “พ.ร.บ.” ที่เราโดนบังคับให้ต่อทุกปีล่ะ มันอยู่ตรงไหนของสมการนี้?

นี่คือจุดเริ่มต้นของความสับสนครั้งใหญ่ของคนใช้รถจำนวนมาก หลายคนจ่ายเงินค่า พ.ร.บ. (หรือชื่อเต็มๆ ว่า “พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ”) ไปพร้อมๆ กับการต่อภาษีรถยนต์ โดยที่ยังเข้าใจผิดๆ ว่า

  • “พ.ร.บ. ก็คือประกันชั้น 3 อ่อนๆ”
  • “ถ้าชน พ.ร.บ. ก็ช่วยซ่อมรถเรานิดหน่อย”
  • “มี พ.ร.บ. แล้ว ไม่ต้องมีประกันอื่นก็ได้”

Spoiler Alert ผิดทั้งหมดครับ

ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่ยัง “งง” ว่าตกลงเราจ่ายเงินหลายร้อยบาทนี้ไปเพื่ออะไรกันแน่ ใบความรู้นี้คือคำตอบสำหรับคุณ เราจะมา “สแกน” พ.ร.บ. กันแบบหมดเปลือกในภาษาที่คนรุ่นใหม่เข้าใจง่ายที่สุด ลืมตำรากฎหมายหนาเตอะไปได้เลย นี่คือคู่มือฉบับ “Real Talk” ที่จะทำให้คุณรู้ว่า พ.ร.บ. ไม่ใช่แค่กระดาษแผ่นเดียวที่ใช้ต่อภาษี แต่มันคือ “เกราะกันเจ็บ” ชิ้นแรกสุดที่คุณและทุกคนบนถนนมี

พ.ร.บ. คืออะไร? (ประกันภัยภาคบังคับ)

พูดให้ง่ายที่สุด พ.ร.บ. ไม่ใช่ “ประกันรถ” แต่เป็น “ประกันคน”

หัวใจของมันคือการการันตีว่า ไม่ว่าใครก็ตามที่ “ประสบภัย” จากรถยนต์ ไม่ว่าจะบาดเจ็บ ล้มตาย หรือพิการ จะต้องได้รับการเยียวยาขั้นพื้นฐาน “ทันที” โดยไม่สนใจว่าใครเป็นฝ่ายถูกหรือฝ่ายผิด

มันคือ “กองทุนฉุกเฉินภาคบังคับ” ที่รถทุกคันต้องลงขันร่วมกัน เพื่อสร้างหลักประกันว่า ถ้าเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น จะไม่มีใครถูกทิ้งไว้ข้างหลังโดยไม่ได้รับการรักษาพยาบาล

ดังนั้น เป้าหมายหลักของ พ.ร.บ. จึงมีแค่ 2 อย่าง คือ

  1. จ่ายค่ารักษาพยาบาล (เมื่อคุณเจ็บ)
  2. จ่ายค่าสินไหมทดแทน (เมื่อคุณพิการหรือเสียชีวิต)

จำไว้ให้แม่น พ.ร.บ. ไม่คุ้มครอง “ทรัพย์สิน” หรือ “รถยนต์” ของคุณหรือคู่กรณีแม้แต่บาทเดียว

พ.ร.บ. คุ้มครอง “ใคร” และ “เท่าไหร่”?

เมื่อเราเข้าใจแล้วว่า พ.ร.บ. โฟกัสแค่ “คน” ทีนี้มาดูกันว่ามันจ่ายยังไง ใน พ.ร.บ. หนึ่งฉบับ จะมีการจ่ายเงิน 2 สเต็ป ซึ่งสำคัญมากเพราะวงเงินไม่เท่ากัน

สเต็ปที่ 1 ค่าเสียหายเบื้องต้น (จ่ายทันที ไม่ต้องรอพิสูจน์ถูกผิด)

นี่คือหัวใจของ พ.ร.บ. ที่ทำให้มันไม่เหมือนประกันทั่วไป ทันทีที่เกิดเหตุและมีคนเจ็บ “บริษัทกลางคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ” หรือบริษัทประกันที่คุณซื้อ พ.ร.บ. ด้วย จะจ่ายเงินก้อนนี้ให้ก่อนเลยภายใน 7 วัน ขอแค่มีหลักฐานว่าเกิดเหตุจริง วงเงินนี้มีไว้เพื่อให้คุณเข้าห้องฉุกเฉินได้ทันที

  • ค่ารักษาพยาบาล (ตามจริง) สูงสุด 30,000 บาท/คน
  • ค่าสูญเสียอวัยวะ/ทุพพลภาพถาวร หรือเสียชีวิต 35,000 บาท/คน

ย้ำอีกครั้ง สเต็ปนี้ “ไม่สนว่าใครผิด” ชนปุ๊บ เจ็บปั๊บ เบิกได้เลย (แม้แต่คนขับที่เมาแล้วขับไปชนเอง ก็ยังเบิกส่วนนี้ได้ เพื่อให้ได้รับการรักษา!)

สเต็ปที่ 2 ค่าสินไหมทดแทน (สำหรับ “ฝ่ายถูก” เท่านั้น)

หลังจากสเต็ปแรกที่จ่ายค่ารักษาฉุกเฉินไปแล้ว ทีนี้ก็ต้องมาดูว่า “ใครผิด” (ซึ่งมักจะดูจากบันทึกประจำวันของตำรวจ)

ถ้าคุณเป็น “ฝ่ายถูก” หรือเป็น “ผู้โดยสาร” (ที่ไม่ใช่คนขับ) คุณมีสิทธิ์ได้รับความคุ้มครองที่สูงขึ้นไปอีก โดย พ.ร.บ. ของรถ “ฝ่ายผิด” จะเป็นคนจ่ายส่วนต่างที่เกินมาจากสเต็ปแรก

  • ค่ารักษาพยาบาล (ตามจริง) วงเงินขยับขึ้นเป็นสูงสุด 80,000 บาท/คน (เช่น ค่ารักษาจริง 50,000 เบิก “เบื้องต้น” ไปแล้ว 30,000 ก็มาเบิก “ส่วนเกิน” นี้ได้อีก 20,000)
  • กรณีเสียชีวิต หรือ ทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิง 500,000 บาท/คน (ถ้าเบิก “เบื้องต้น” (ข้อ 1) ไปแล้ว 35,000 ก็จะได้รับส่วนนี้เพิ่มอีก 465,000 บาท)
  • กรณีสูญเสียอวัยวะ
    • นิ้วขาด 1 ข้อขึ้นไป 200,000 บาท
    • สูญเสียอวัยวะ 1 ส่วน (เช่น แขน 1 ข้าง, ขา 1 ข้าง, ตา 1 ข้าง) 250,000 บาท
    • สูญเสียอวัยวะ 2 ส่วนขึ้นไป (เช่น แขน 2 ข้าง, ตา 2 ข้าง) 500,000 บาท
  • ค่าชดเชยรายวัน (กรณีนอนโรงพยาบาล – สูงสุด 20 วัน) 200 บาท/วัน

จุดที่คนสับสนที่สุด แล้ว “คนขับฝ่ายผิด” ล่ะ? คนขับที่เป็นฝ่ายผิด จะเบิกได้แค่ “สเต็ปที่ 1” (ค่าเสียหายเบื้องต้น) เท่านั้น คือค่ารักษาสูงสุด 30,000 บาท จะไม่ได้รับค่าสินไหมทดแทนในสเต็ปที่ 2

Case Study สถานการณ์จริง พ.ร.บ. ทำงานยังไง?

ทฤษฎีอาจจะน่าเบื่อ ลองมาดูสถานการณ์จริงกันดีกว่าว่า พ.ร.บ. จะเข้ามาช่วยคุณตอนไหน และไม่ช่วยตอนไหน

Case 1 “เราผิด” (ขับไปชนท้ายเขา)

  • รถเรา กันชนยุบ ไฟหน้าแตก
  • คนในรถเรา เรา (คนขับ) หัวเข่ากระแทก / เพื่อนเรา (ผู้โดยสาร) แขนหัก
  • รถคู่กรณี กันชนท้ายบุบ
  • คนในรถคู่กรณี คนขับ ปวดคอ / ผู้โดยสาร ปวดหลัง

พ.ร.บ. ทำงานยังไง (ประกันภัยภาคบังคับ)

  1. พ.ร.บ. (ของเรา)
    • จ่ายค่ารักษาให้ “เพื่อนเรา” (ผู้โดยสาร) เพราะเขาเป็นผู้ประสบภัย (วงเงินสูงสุด 80,000 บาท)
    • จ่ายค่ารักษาให้ “คนขับคู่กรณี” และ “ผู้โดยสารคู่กรณี” (เพราะเขาเป็นฝ่ายถูก วงเงินสูงสุดคนละ 80,000 บาท)
    • จ่ายค่ารักษาให้ “ตัวเรา” (คนขับฝ่ายผิด) ได้แค่ค่าเสียหายเบื้องต้น (สูงสุด 30,000 บาท)
  2. พ.ร.บ. ไม่จ่ายอะไรบ้าง
    • ไม่จ่าย ค่าซ่อมกันชน “รถเรา”
    • ไม่จ่าย ค่าซ่อมกันชน “รถคู่กรณี”

สรุป Case 1 ถ้าคุณเป็นฝ่ายผิด พ.ร.บ. จะช่วยดูแล “คน” ทั้งหมด แต่ดูแล “ตัวคุณ” (คนขับ) น้อยที่สุด และไม่ดูแล “รถ” เลยแม้แต่คันเดียว ค่าซ่อมรถคู่กรณี คุณต้องควักเนื้อจ่ายเองเต็มๆ

Case 2 “เขาผิด” (เขาขับมาชนเรา)

  • รถเรา ประตูยุบ
  • คนในรถเรา เรา (คนขับ) คอเคล็ด / ลูกเรา (ผู้โดยสาร) หัวโน
  • รถคู่กรณี กันชนหน้าแตก
  • คนในรถคู่กรณี คนขับ ไม่เป็นอะไร

พ.ร.บ. ทำงานยังไง

  1. พ.ร.บ. (ของคู่กรณี – ฝ่ายผิด)
    • จ่ายค่ารักษาให้ “ตัวเรา” (คนขับฝ่ายถูก) (วงเงินสูงสุด 80,000 บาท)
    • จ่ายค่ารักษาให้ “ลูกเรา” (ผู้โดยสาร) (วงเงินสูงสุด 80,000 บาท)
  2. พ.ร.บ. (ของเรา – ฝ่ายถูก)
    • จ่ายค่ารักษาให้ “คนขับคู่กรณี” (ฝ่ายผิด) ได้แค่ค่าเสียหายเบื้องต้น (สูงสุด 30,000 บาท)
  3. พ.ร.บ. ไม่จ่ายอะไรบ้าง
    • ไม่จ่าย ค่าซ่อมประตู “รถเรา”
    • ไม่จ่าย ค่าซ่อมกันชน “รถคู่กรณี”

สรุป Case 2 ขนาดเราเป็นฝ่ายถูก พ.ร.บ. ก็ยังดูแลแค่ “คน” ในรถเราอยู่ดี ส่วน “ค่าซ่อมรถเรา” ที่ประตูยุบ ต้องไปไล่บี้เรียกค่าเสียหายจากคู่กรณี (หรือประกันภาคสมัครใจของเขา) เอง

Case 3 “ชนแล้วหนี” (ซวยซ้ำซ้อน)

สมมติคุณจอดติดไฟแดงอยู่ดีๆ มอเตอร์ไซค์ที่ไหนไม่รู้ขี่มาเฉี่ยวคุณล้ม แล้วบิดหนีไปเลย จำทะเบียนก็ไม่ได้

  • สถานการณ์ คุณบาดเจ็บ (เช่น ขาถลอก, ข้อเท้าแพลง)
  • ปัญหา ไม่มี พ.ร.บ. ของคู่กรณีมาให้เบิก

พ.ร.บ. ทำงานยังไง

อย่าเพิ่งสิ้นหวัง! กฎหมายนี้มี “กองทุนทดแทนผู้ประสบภัยจากรถ” เตรียมไว้สำหรับสถานการณ์แบบนี้ (รวมถึงกรณีรถไม่มี พ.ร.บ.) คุณในฐานะ “ผู้ประสบภัย” ที่ถูกชนแล้วหนี สามารถไปเบิกเงินจาก “กองทุนฯ” นี้ได้ แต่… จะเบิกได้เฉพาะในส่วนของ “ค่าเสียหายเบื้องต้น” เท่านั้น (คือ ค่ารักษาสูงสุด 30,000 บาท และค่าเสียชีวิต/ทุพพลภาพ 35,000 บาท)

Case 4 “ล้มเอง” (ไม่มีคู่กรณี)

ขับมอเตอร์ไซค์มาดีๆ ตกหลุม, สะดุดหมา, หรือฝนตกถนนลื่น ล้มเอง เจ็บเอง

พ.ร.บ. ทำงานยังไง

คุณ (คนขับ) ถือเป็น “ผู้ประสบภัย” เช่นกัน แต่เนื่องจากไม่มีคู่กรณี (หรือถือว่าเราประมาทเอง) คุณจะสามารถเบิก พ.ร.บ. ของ “รถตัวเอง” ได้ แต่เบิกได้เฉพาะ “ค่าเสียหายเบื้องต้น” (ค่ารักษาสูงสุด 30,000 บาท) เท่านั้น

FAQ ที่พบบ่อย เบิกยังไง? ยุ่งยากไหม?

1. ต้องใช้อะไรเบิกบ้าง?

  • สำคัญสุด สำเนาบัตรประชาชน (ของผู้เจ็บ)
  • ถ้ามี สำเนาทะเบียนรถ (คันที่เกิดเหตุ) และหน้าตาราง พ.ร.บ.
  • เอกสารการแพทย์ ใบรับรองแพทย์, ใบเสร็จค่ารักษา (ตัวจริง)
  • ถ้าเสียชีวิต ใบมรณบัตร, หลักฐานการเป็นทายาท
  • ถ้ามี บันทึกประจำวันจากตำรวจ (จำเป็นมาก ถ้าจะเบิกส่วนเกิน “ค่าเสียหายเบื้องต้น”)

2. เบิกที่ไหน?

  • ง่ายที่สุด ยื่นเรื่องกับโรงพยาบาลที่เราเข้ารักษา (หลายแห่งมีระบบเบิกตรงกับบริษัทประกัน/กองทุนกลางฯ ให้เลย)
  • เบิกเอง ยื่นเรื่องที่บริษัทประกันภัยที่เราซื้อ พ.ร.บ. มา หรือบริษัทประกันของคู่กรณี (ถ้าเราถูก)
  • เบิกข้ามบริษัท จริงๆ แล้ว เราสามารถยื่นเรื่องที่บริษัทประกันภัย “ที่ไหนก็ได้” ที่รับทำ พ.ร.บ. เขาจะรับเรื่องไว้แล้วไปจัดการกันเองภายใน

3. ต้องเบิกภายในกี่วัน?

แต่สำหรับ “ค่าเสียหายเบื้องต้น” (สเต็ป 1) กฎหมายกำหนดให้บริษัทประกันจ่าย “ภายใน 7 วัน” หลังจากได้รับเอกสารครบถ้วน ดังนั้น รีบยื่นให้เร็วที่สุด

ต้องใช้สิทธิ์เบิกภายใน 180 วัน นับตั้งแต่วันที่เกิดเหตุ

บทลงโทษ ถ้า “ไม่มี” พ.ร.บ. จะเกิดอะไรขึ้น?

สำหรับคนยุคใหม่ที่ให้ความสำคัญกับความคุ้มค่า อาจมีคำถามว่า “ถ้าฉันขับรถดีมาก ไม่เคยชนเลย ไม่ต่อ พ.ร.บ. ได้ไหม ประหยัดเงิน”

คำตอบคือ “ไม่ได้” และ “ไม่คุ้มอย่างแรง”

พ.ร.บ. คือ “ภาคบังคับ” (Compulsory) การไม่มีมัน ไม่ใช่แค่เรื่องของความคุ้มครอง แต่เป็นเรื่องของ “กฎหมาย”

1. โทษปรับ (ที่แพงกว่าค่า พ.ร.บ. หลายเท่า)

  • กฎหมายระบุชัดเจนว่า “เจ้าของรถ” ที่ไม่จัดให้มี พ.ร.บ. มีโทษปรับสูงสุด 10,000 บาท
  • และ “ผู้ใช้รถ” (คนขับ) ที่รู้ว่ารถคันนั้นไม่มี พ.ร.บ. แล้วยังเอามาขับ ก็มีโทษปรับสูงสุด 10,000 บาท
  • (โดนทีเดียว จ่ายค่า พ.ร.บ. ได้หลายสิบปี)

2. “ต่อภาษีรถยนต์” ไม่ได้!

  • นี่คือไม้ตายที่เด็ดขาดที่สุด กรมการขนส่งทางบกกำหนดว่า การจะต่อภาษีรถยนต์ประจำปี (ไอ้ป้ายสี่เหลี่ยมที่ติดหน้ารถ) คุณต้องยื่น “หาง พ.ร.บ.” ที่ยังไม่หมดอายุประกอบด้วย
  • ไม่มี พ.ร.บ. = ต่อภาษีไม่ได้
  • ต่อภาษีไม่ได้ (ภาษีขาด) = ป้ายภาษีหมดอายุ
  • ขับรถป้ายภาษีหมดอายุ = โดนตำรวจจับ โทษปรับอีกต่างหาก (สูงสุด 2,000 บาท)

3. จุดจบสายแข็ง “หายนะทางการเงิน” เมื่อเกิดเหตุ

  • นี่คือสิ่งที่น่ากลัวที่สุด
  • สมมติคุณขับรถ (ที่ไม่มี พ.ร.บ.) ไปชนคนอื่น
  • สิ่งที่คุณต้องจ่าย
    • ค่ารักษาพยาบาลคู่กรณี (เบิก พ.ร.บ. ไม่ได้)
    • ค่าชดเชยกรณีเขาเสียชีวิต/พิการ (สูงสุด 500,000 บาท หรืออาจฟ้องร้องกันมากกว่านั้น)
    • ค่าซ่อมรถคู่กรณี (อันนี้แน่นอนอยู่แล้ว)
    • ค่าซ่อมรถตัวเอง
    • ค่าปรับฐานขับรถไม่มี พ.ร.บ.
  • เพียงเพราะคุณพยายาม “ประหยัด” เงินค่า พ.ร.บ. ไม่กี่ร้อยบาท (สำหรับมอเตอร์ไซค์) หรือหลักร้อยปลายๆ/พันต้นๆ (สำหรับรถเก๋ง) คุณอาจต้องจ่ายค่าเสียหายหลักแสนหรือหลักล้านแทน

พ.ร.บ. จึงไม่ใช่ “ทางเลือก” แต่คือ “หน้าที่” พื้นฐานที่สุดของคนมีรถครับ

คำถามสุดท้าย พ.ร.บ. “ตัวเดียว” พอไหม?

มาถึงจุดนี้ เราทุกคนเข้าใจตรงกันแล้วว่า พ.ร.บ. คือ “เกราะกันเจ็บ” ที่จำเป็นและยอดเยี่ยม มันดูแล “คน” ได้ดีในระดับพื้นฐาน

แต่ลองจินตนาการสถานการณ์นี้

คุณกำลังขับรถกลับบ้านในเย็นวันศุกร์ ทันใดนั้น รถคันหน้าเบรกกะทันหัน คุณเบรกไม่ทัน… “โครม” คุณชนท้ายรถ Mercedes-Benz S-Class คันหรู ไฟท้ายแตก กันชนยุบ โชคดีที่ไม่มีใครเจ็บ…

พ.ร.บ. ของคุณจ่ายอะไรบ้าง? คำตอบคือ 0 บาท

เพราะ พ.ร.บ. ไม่คุ้มครอง “ทรัพย์สิน” สิ่งที่คุณต้องรับผิดชอบคือ “ค่าซ่อม” Benz คันนั้น ซึ่งอาจจะเริ่มต้นที่ 200,000 บาท หรือมากกว่านั้น และคุณต้องจ่ายค่าซ่อมรถ “ของคุณเอง” อีกต่างหาก

นี่คือจุดที่ พ.ร.บ. “เอาไม่อยู่”

พ.ร.บ. ถูกออกแบบมาเพื่อ “คน” เท่านั้น แต่ในอุบัติเหตุ มันมีเรื่องของ “รถ” และ “ทรัพย์สิน” เข้ามาเกี่ยวข้องเสมอ

ดังนั้น ลำพังแค่ พ.ร.บ. จึง “ไม่เพียงพอ” สำหรับการใช้รถในโลกความจริง

มันจึงต้องมีสิ่งที่เรียกว่า “ประกันภาคสมัครใจ” (Voluntary Insurance) เข้ามาเสริมทัพ ซึ่งก็คือประกัน “ชั้น 1”, “ชั้น 2+”, “ชั้น 3+” หรือ “ชั้น 3” ที่เรารู้จักกันดีนั่นเอง

สรุปความแตกต่างที่ชัดเจนที่สุด
  • พ.ร.บ. (ภาคบังคับ)
    • เป้าหมาย คุ้มครอง “คน” (ทุกคนที่เจ็บ/ตาย)
    • ไม่คุ้มครอง “รถ” (ทั้งของเราและคู่กรณี)
  • ประกันภาคสมัครใจ (เช่น ชั้น 1, 2+, 3+)
    • เป้าหมาย คุ้มครอง “รถ” และ “ทรัพย์สิน” (ซ่อมเขา + ซ่อมเรา)
    • และ คุ้มครอง “ส่วนต่างของคน” ที่ พ.ร.บ. จ่ายไม่พอ (เช่น พ.ร.บ. จ่ายค่ารักษา 80,000 แต่ค่ารักษาจริง 150,000 ประกันภาคสมัครใจจะมาจ่ายส่วนเกิน 70,000 ที่เหลือให้)

การมี พ.ร.บ. คือการ “ทำตามกฎหมาย” แต่การมี “ประกันภาคสมัครใจ” คือการ “ปกป้องอนาคตทางการเงิน” ของคุณเอง

จัดการเรื่อง “ประกัน” และ “พ.ร.บ.” อย่างไรให้ชีวิตง่ายขึ้น?

สำหรับคนเราๆ เวลาคือสิ่งมีค่าที่สุด การต้องมานั่งจำว่า พ.ร.บ. จะหมดเมื่อไหร่? ภาษีขาดหรือยัง? แล้วประกันภาคสมัครใจที่ซื้อไว้ คุ้มครองพอมั้ย? หรือควรจะซื้อชั้น 1 หรือ 2+ ดี? เหล่านี้คือเรื่องที่ค่อนข้างซับซ้อนและน่าปวดหัว

หลายคนเลือกที่จะ “ซื้อๆ ไปให้มันจบ” โดยไม่ได้เปรียบเทียบ หรือเลือกความคุ้มครองที่ไม่เหมาะกับการใช้งานจริง ทำให้ต้องจ่ายแพงเกินความจำเป็น หรือในทางกลับกัน พอเกิดเหตุขึ้นมาจริงๆ ความคุ้มครองก็ไม่ครอบคลุม

นี่คือจุดที่ “โบรกเกอร์ประกันภัย” อย่าง OMC Broker (โอเอ็มซี โบรกเกอร์) เข้ามามีบทบาท

OMC Broker ไม่ใช่บริษัทประกัน แต่เราคือ “ที่ปรึกษา” ด้านประกันรถยนต์

หน้าที่ของเราไม่ใช่แค่ “ขาย” กรมธรรม์ แต่คือการช่วยให้คุณบริหารจัดการความเสี่ยงเรื่องรถยนต์ได้อย่างชาญฉลาดที่สุด

OMC Broker ช่วยคุณได้อย่างไร?

  1. ที่ปรึกษาที่เข้าใจคุณ เราเข้าใจว่าคนขับรถในเมือง กับคนขับรถออกต่างจังหวัด ใช้รถทุกวัน กับใช้รถแค่เสาร์-อาทิตย์ ต้องการความคุ้มครองที่ต่างกัน เราช่วยคุณวิเคราะห์การใช้งาน เพื่อหา “ประกันภาคสมัครใจ” (ชั้น 1, 2+, 3+) ที่ “พอดี” กับคุณที่สุด ไม่ต้องจ่ายแพงเกินจำเป็น
  2. เปรียบเทียบให้เห็นชัด เราเป็นพันธมิตรกับบริษัทประกันชั้นนำมากมาย ทำให้คุณเห็นข้อเสนอและความคุ้มครองจากหลายๆ ที่ในจุดเดียว ประหยัดเวลาในการค้นหาเอง
  3. บริการเตือนต่ออายุครบวงจร หมดกังวลเรื่อง “ลืม” เรามีระบบช่วยเตือนและดำเนินการต่ออายุให้คุณ ทั้ง “พ.ร.บ.” และ “ประกันภาคสมัครใจ” รวมถึงช่วยประสานงานเรื่องการต่อภาษี เพื่อให้รถของคุณพร้อมใช้งานและถูกต้องตามกฎหมายเสมอ
  4. ดูแลเมื่อเกิดเหตุ เราพร้อมให้คำปรึกษาในขั้นตอนการเคลม ช่วยให้คุณผ่านช่วงเวลาที่ยุ่งยากไปได้อย่างราบรื่น

ในฐานะที่ OMC Broker ทำงานด้านประกันภัยรถยนต์มานาน เราเข้าใจดีว่าลูกค้าหลายคนไม่ได้อยากเจอเหตุการณ์ “ปฏิเสธความคุ้มครอง” เพราะมันทำให้ทั้งเสียเวลา เสียเงิน และเสียอารมณ์ เราจึงให้คำปรึกษาแบบจริงใจ ตรวจสอบเงื่อนไขให้ตรงกับการใช้งาน และคอยดูแลตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงการเคลม เรารวมประกันรถยนต์จากทุกบริษัทชั้นนำของประเทศไทยไว้ในที่เดียว ไม่ว่าจะเป็นวิริยะ กรุงเทพ รู้ใจ ธนชาต และบริษัทชั้นนำอีกมากมาย เราคัดสรรแผนประกันที่ครอบคลุมและคุ้มค่าที่สุดให้คุณเปรียบเทียบได้อย่างโปร่งใส

สรุป

พ.ร.บ. คือ “เกราะกันเจ็บ” ที่กฎหมายบังคับให้คุณต้องมี ประกันภาคสมัครใจ คือ “เกราะกันจน” ที่คุณเลือกมีเพื่อปกป้องเงินในกระเป๋า

การขับขี่บนท้องถนนมีความเสี่ยงเสมอ อย่าปล่อยให้ “ความไม่รู้” หรือ “ความยุ่งยาก” มาทำให้คุณและรถของคุณอยู่ในความเสี่ยง

ขับขี่ปลอดภัย ให้ OMC Broker ช่วยดูแลเรื่องประกันที่ซับซ้อนแทนคุณ ให้เราเป็นที่ปรึกษา เพื่อให้คุณใช้เวลาไปโฟกัสกับสิ่งที่สำคัญกว่าในชีวิต